ราฮีม สเตอร์ลิ่ง จากนักเตะที่ทั้งโดนดูถูก โดนด่า และความเกลียดชังจากแฟนบอล ต่างๆนา ๆ แต่ราฮีม สเตอร์ลิ่ง นั้นเป็นนักสู้ ที่ไม่ย้อท้อ สู้ๆทั้งๆที่มีแต่คนเกลียด แต่ ท่ามกลางความเกลียดชัง ราฮีม ก็รับใช้ชาติอังกฤษด้วยการยิง 15 ประตู กับอีก 10 แอสซิสต์ เป็นการตอบแทนแฟนบอล ที่เกลียดเขา
ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เป็นนักเตะที่เริ่มต้นการเล่นฟุตบอลในสโมสรระดับเยาวชนครั้งแรกเมื่อ 200-2010 เล่นกับทีม ควีนส์พาร์กเรนเจอส์ เป็นระยะเวลา 10 ปี และได้เข้าร่วมเล่นกับทีมลิเวอร์พูล เมื่อปี 2010-2012 เป็นระยะเวลา2ปี หลังจากนั้นได้ก้าวเข้าสู่การเป็นนักเตะระดับสโมสรมืออาชีพในการเล่นกับสโมสรในลีกอังกฤษ กับสโมสรลิเวอร์พูล “หงส์แดง” เมื่อปี 2012-2015 โดยลงเล่นทั้งหมด 95 นัด จากนั้นไม่นานได้ย้ายทีมมาเล่นกับ ทีมแมนเชสเตอร์ซิตี้ เมื่อปี 2015และมีข้อกำหนดสัญญา 5 ปี ซึ่งลงเล่นทั้งหมด 90 นัด เป็นนักเตะที่สร้างชื่อเสียงให้กับทีมและทักษะการเล่นเป็นที่ยอมรับและเป็นกลไกสำคัญของแมนเชสเตอร์ซิตี้
ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เริ่มต้นเข้าสู่การเล่นให้กับระดับชาติ เริ่มต้นเมื่อปี 2009-2010 ในรุ่นเยาวชนทีมชาติอังกฤษไม่เกิน 16 ปี ลงเล่น 9 นัด , ปี 2010-2011 รุ่นเยาวชนอายุไม่เกิน 17 ปี ลงเล่น 13 นัด , ปี 2012 รุ่นเยาวชนอายุไม่เกิน 19 ปี เล่นเพียง1นัด , ปี 2012 รุ่นเยาวชนอายุไม่เกิน 21 ปี และก้าวเข้าสู่ทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ในปี 2012 โดยลงเล่นทั้งหมด 35 นัด จึงเป็นนักเตะทีมชาติอังกฤษที่หลายคนจับตามองในเวลานั้นเพราะว่ามีความรวดเร็วสูง
ราฮีม สเตอร์ลิ่ง กลายเป็นอีก1ในนักเตะที่ถูกพูดถึงมากในฤดูกาล 2018-2019 ด้วยฟอร์มการเล่นในสนามที่เรียกได้ว่า “ดีที่สุด” ของเขาตั้งแต่เริ่มเล่นฟุตบอลมา ไม่แปลกที่เขาจะมีชื่ออยู่ในแคนดิเดตผู้ที่จะได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลดังกล่าว แต่ก่อนที่ สเตอร์ลิ่ง จะก้าวขึ้นมาเป็นยอดแข้งของอังกฤษ จนมีชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ เหมือนในปัจจุบัน คุณเชื่อหรือไม่ว่าถ้าหากเขาไม่ลุกขึ้นสู้เพื่อฝันของตัวเอง สิ่งเหล่านี้ก็คงไม่เกิดขึ้น และนี่คือเรื่องราวของชายที่ไม่หยุดสู้เพื่อความฝันของเขา “ราฮีม สเตอร์ลิ่ง”
ระหว่างที่ ทีมลิเวอร์พูล และทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กำลังขับเคี่ยวกันอย่างเมามันเพื่อหวังจะครอบครองแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2018-2019 ถ้าจะบอกว่านี่คือฤดูกาลที่ดีที่สุดของ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ก็คงยากที่จะมีใครมาโต้แย้ง และในขณะที่ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง กำลังเล่นถวายหัวพลีกายถวายชีพให้กับทีมเรือใบสีฟ้า เขาหารู้ไม่ว่าลูกสาวตัวเล็กของเขากำลังร้องเพลงเชียร์ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ แบบสุดฤทธิ์สุดเหวี่ยง
ใช่แล้ว เจ้าสเตอร์ลิ่งตัวเล็กเป็นแฟนทีมลิเวอร์พูล ตัวยง ท่าทางดีใจเหล่านั้นทำให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง นึกถึงตัวเขาในวัยเด็ก “เธอเหมือนผมตอนเด็ก ๆ จริง ๆ ยิ่งถ้าคุณไม่รู้จักเธอ เธอจะไม่มีวันปริปากพูดกับคุณเด็ดขาด คุณต้องทำให้เธอเชื่อใจให้ได้เสียก่อน”
ราฮีม สเตอร์ลิ่ง กับลูก
ในช่วงชีวิตวัยเด็กของ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ก็เหมือนกับเด็กอพยพจากแอฟริกาคนอื่น ๆ ก้าวทุกก้าวเต็มไปด้วยความลำบากและไร้ซึ่งอนาคตอย่างสิ้นเชิง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง รับรู้การสูญเสียพ่อตั้งแต่อายุได้เพียง2ขวบ มิหนำซ้ำไม่นานหลังจากนั้นแม่ของเขาก็ได้ทิ้งเขากับพี่สาวไว้ที่จาไมก้า ก่อนจะมุ่งตรงไปอังกฤษเพื่อศึกษาต่อโดยหวังว่านี่จะเป็นหนทางที่ทำให้ชีวิตของครอบครัวดีขึ้น แน่นอนเด็กวัย2ขวบไม่มีทางรับรู้เจตนานั้น เขาได้แต่ร้องไห้และตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไม ทำไมแม่ถึงต้องทิ้งเราไป
“และพอผมอายุได้2ขวบ ซึ่งพ่อถูกยิงตาย เรื่องนี้มันมีอิทธิพลต่อชีวิตของผมมาตลอดและไม่นานจากนั้นแม่ผมก็มาตัดสินใจทิ้งเราไว้กับคุณยายที่คิงส์ตัน แม่ไปอังกฤษเพื่อเรียนและหวังว่าสิ่งนั้นจะทำให้ชีวิตของพวกเราดีขึ้น ผมยังคงจำได้เสมอเลยว่าตอนที่ผมมองไปเห็นเด็กคนอื่นๆที่เดินกับแม่ของตัวเอง ตอนนั้นผมอิจฉาและไม่เคยเข้าใจว่าทำไมแม่ถึงทิ้งเราให้อยู่กับยาย”
แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่โชคดีเหลือเกินที่เขามีเพื่อนสนิทที่คอยค้ำจุนเขาจากความผิดหวังต่าง ๆ ในชีวิต เพื่อนคนนั้นของ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง คือฟุตบอล
“และขอขอบคุณพระเจ้าที่ให้ผมมีลูกฟุตบอลอยู่ข้าง ๆ ผมยังจำได้เสมอถ้าตอนที่ฝนตก เด็กๆทุกคนจะวิ่งออกมาเพื่อไปเล่นฟุตบอลในท่ามกลางทีมีแอ่งน้ำ รอบตัว นับว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของผม มันเป็นภาพที่ผมนึกถึงจาไมก้า ภาพที่ทุกคนออกมาเตะฟุตบอลท่ามกลางสายฝน มันสนุกมาก”
แต่แล้วชีวิตของเขาก็ต้องเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ ในวัย5ขวบ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ย้ายมาอยู่ลอนดอนกับแม่และพี่สาว ทันทีที่เท้าของ สเตอร์ลิ่ง แตะแผ่นดินอังกฤษ เขารับรู้ได้ทันทีว่าที่นี่ไม่เหมือนกับบ้านเกิดของเขาเลย แม้ลอนดอนจะฝนตกอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีใครคิดจะออกมาเตะฟุตบอลกลางสายฝนเหมือนที่จาไมก้า
“มันเป็นช่วงเวลาที่ยากเพราะวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศช่างต่างกันเหลือเกิน”
ลอนดอน เป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูง แน่นอนการมาของ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และพี่สาว ยิ่งทำให้แม่ของเขาต้องดิ้นรนมากขึ้นไปอีก ตอนนั้นชีวิตของพวกเขาแสนจะลำบาก ขนาดจะเรียกว่าเป็นพวกหาเช้ากินค่ำก็ยังไม่ได้เลย เพราะบางวันถึงขั้นต้องอดอาหารเพราะไม่มีเงินไปซื้ออาหาร แต่แม้จะลำบากขนาดไหนแม่ของ สเตอร์ลิ่ง ก็ไม่เคยย้อท้อต่อการเรียน เธอยังคงมีปณิธานชัดเจนที่ว่า ปริญญาจะทำให้ชีวิตของครอบครัวดีขึ้น นั่นจึงทำให้เธอต้องหอบลูกทั้งสองติดสอยห้อยตามเธอไปทำงานที่โรงแรมต่าง ๆ เสมอ
ช่วงสมัยเรียนประถมกลายเป็นช่วงที่สร้างความลำบากใจให้กับ สเตอร์ลิ่ง มากที่สุด เด็กตัวเล็ก ๆ ที่ต้องจากบ้านเกิดและต้องเผชิญหน้ากับวัฒนธรรมที่แตกต่าง แน่นอนปัจจัยเหล่านี้ทำให้ สเตอร์ลิ่ง มีพฤติกรรมที่ต่อต้านกับทุกสิ่งไม่เว้นแม้แต่แม่ของตัวเอง และจากความดื้อรั้นนั้นทำให้ สเตอร์ลิ่ง ถูกบีบให้ออกจากโรงเรียน
ปีต่อมา สเตอร์ลิ่ง ได้เรียนในโรงเรียนที่ใหญ่ขึ้น และเขาได้พบกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตหลังได้รู้จักกับชายที่ชื่อว่า ไคฟ์ เอลลิงตัน ชายผู้เป็นคนที่คอยให้คำปรึกษาแก่เด็กที่ไร้พ่อ เอลลิงตัน กลายเป็นคนที่เขาไว้ใจและพร้อมที่จะเปิดอกคุยได้ในทุกเรื่อง มีวันหนึ่ง เอลลิงตัน ตัดสินใจถาม สเตอร์ลิ่งว่า “สิ่งที่เขารักที่จะทำคืออะไร ?” ใช่แล้วนี่ดูเหมือนเป็นคำถามง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็คงตอบได้แต่สำหรับ สเตอร์ลิ่ง สิ่งที่เขาตอบกลับไปในวันนั้นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความฝันทั้งหมด
“ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนเลย ผมไม่รู้ว่าตัวเองรักที่จะทำอะไร ณ จุดนั้นผมชอบเล่นฟุตบอลข้างถนน ผมเลยตอบกลับเขาไปแบบนั้น”
“ดีเลย ฉันมีทีมเล็ก ๆ ที่จะเล่นทุกวันอาทิตย์ ทำไมนายไม่ลองมาเล่นกับเราดูล่ะ” ประโยคนี้ของ เอลลิงตัน กลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเด็กคนหนึ่ง ตั้งแต่นั้น สเตอร์ลิ่ง ก็หลงใหลในการเล่นฟุตบอล และตอนที่เขาอายุได้เพียงสิบขวบ แมวมองจากทีมใหญ่ ๆ ในลอนดอน ล้วนต้องมาชมฝีเท้าในการเล่นฟุตบอลของเขา ตอนนั้นทั้งฟูแลม และ อาร์เซนอล ต่างต้องการตัวเขาไปร่วมทีมเยาวชนโดยเฉพาะอาร์เซนอล ที่ถือเป็นทีมอันดับต้น ๆ ของประเทศ แน่นอนถ้าคุณเป็น สเตอร์ลิ่ง คุณคงไม่รอช้าที่จะตอบตกลงกลับไปแน่นอน แต่ สเตอร์ลิ่ง กลับไม่ได้ทำแบบนั้น แม้ใจของเขาจะอยากทำมันมากแค่ไหนก็ตาม
“แม่คือคนที่เอาตัวรอดเก่งที่สุดที่ผมเคยรู้จัก วันหนึ่งแม่เดินมานั่งข้างผมและพูดว่า ‘ฟังนะแม่รักแก แต่แม่มีความรู้สึกว่าแกไม่ควรไปอาร์เซนอล’ ผมกระอักกระอ่วนในทันที แต่แม่ก็มาพร้อมกับเหตุผลที่ผมไม่อาจละเลยได้ ‘’ถ้าแกไปที่นั่น แกจะไปอยู่ในที่ที่มีคนเก่งพอ ๆ กับแกกว่าห้าสิบคน แกต้องไปที่ไหนก็ได้ที่จะทำให้แกสามารถยกระดับตัวเองได้”
สุดท้าย สเตอร์ลิ่ง กลายเป็นนักเตะเยาวชนของทีมควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ซึ่งเขาเชื่อว่านี่คือการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิต ในช่วงเวลากว่าเจ็ดปีในฐานะนักเตะเยาวชนของทีมควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส เขาได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวอย่างดี โดยเฉพาะพี่สาวของเขาที่เสียสละทุกอย่างเพื่อแค่ไปรับไปส่งเขา
“แม่ต้องทำงานหนักตลอด แต่ท่านก็ไม่เคยทิ้งให้ผมไปซ้อมคนเดียว พี่สาวผมจะไปเฝ้าและรอรับผมที่สนามซ้อมใกล้ ๆ สนามบินฮีทโธรว์เสมอ และในแต่ละวันก็ต้องใช้เวลากว่าแปดชั่วโมงเพื่อที่จะกลับบ้าน คุณลองจินตนาการถึงเด็กผู้หญิงอายุ 17 ที่ทำแบบนี้ทุกวันเพื่อน้องชายของตัวเอง ผมไม่เคยเห็นเธอบ่นทำนองว่า ไม่เอาอะ ฉันไม่อยากไปรับเขา เลยแม้แต่ครั้งเดียว ตอนแรกผมไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเธอถึงเสียสละเพื่อผมมากขนาดนี้ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าถ้าไม่มีพวกเขา ผมก็คงไม่มีวันนี้”
ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือโชคชะตาที่หลังบ้านของ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง สามารถมองออกไปเห็นสนามเวมบลีย์ได้ และยามที่เสาโค้งขึ้นสูงสุดมันแทบไม่ต่างกับภูเขาลูกโตที่ทอดผ่านมายังเขา แน่นอนเขาฝันเหมือนเด็กอังกฤษทุกคนที่วันหนึ่งจะได้ไปเล่นที่นั่น แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจความฝันนี้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง มักจะเหม่อลอยในเวลาเรียนเสมอจนทำให้ครูของเขาต้องคอยเบรกความเพ้อฝันนี้
“ไม่มีใครที่เชื่อความฝันของผมเท่าไหร่ และมีครูคนหนึ่งตอนผมอายุ14 ผมไม่ฟังเขาสอนเลย จนครูตะโกนถามผมว่า ‘ราฮีม เกิดอะไรขึ้นกับเธอ เธอคิดว่าฟุตบอลจะเป็นเป้าหมายสุดท้ายของเธอเหรอ? เธอรู้รึเปล่าว่ามีเด็กอีกเป็นล้าน ๆ ที่อยากเป็นนักฟุตบอล แล้วอะไรที่ทำให้เธอคิดว่าตัวเองนั้นพิเศษกว่าคนอื่น’ ตอนนั้นผมไม่ค่อยจะโอเคเท่าไหร่ แต่ก็คิดในใจว่า โอเคเดี๋ยวมาคอยดูกัน”
2เดือนต่อมา ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ตอกหน้าครูคนดังกล่าวแหกชนิดหมอไม่รับเย็บ ยันฮีไม่รับเคสเลยทีเดียว เขาถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษชุด U-16s ก่อนจะเป็นฮีโร่ยิง2ประตูใส่ทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ สร้างชื่อให้ตัวเองเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ “ตอนนั้นผมได้ออกทีวีทุกช่อง ทุกคนเห็นความฝันที่เป็นจริงของผม และวันรุ่งขึ้นที่ผมไปโรงเรียนครูคนนั้น (ที่เคยสบประมาทเขา) กลายเป็นคนสนิทอีกคนหนึ่งของผมไปเลย” สเตอร์ลิ่ง ยกระดับการเล่นของตัวเองชนิดก้าวกระโดด และในวันที่เขามีอายุได้15ปี ลิเวอร์พูล ทีมยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีกก็ได้เซ็นสัญญากับเขา ก่อนสุดท้ายดาวเตะรายนี้จะสามารถแจ้งเกิดได้สำเร็จในยุคของกุนซือ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส
ที่ลิเวอร์พูล สโมสรจับ สเตอร์ลิ่ง ไปอยู่กับคุณลุงแก่ ๆ ที่อยู่กับทีมมาตั้งแต่ยุค 70s สเตอร์ลิ่ง ได้รับการดูแลไม่ต่างกับเป็นหลานชายแท้ ๆ ในทุก ๆ เช้าบนโต๊ะอาหารในห้องครัวจะมีเบค่อน บัตตี้ วางรอ สเตอร์ลิ่ง อยู่เสมอ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นดูเอื้อต่อพัฒนาการของเขา ที่นี่ทำให้เขาสงบและได้โฟกัสกับฟุตบอลจริง ๆ
สเตอร์ลิ่ง อยู่กับยอดทีมจากเมอร์ซีไซด์นาน 5 ปีเต็ม ก่อนจะปฏิเสธสัญญาฉบับใหม่ที่ทางลิเวอร์พูลยื่นให้ สุดท้ายเขาตัดสินใจย้ายออกจากถิ่นแอนฟิลด์ และมุ่งตรงไปยังเมืองแมนเชสเตอร์ เพื่อร่วมงานกับ เป๊ป กวาดิโอล่า ที่ ซิตี้ ตอนนั้นเขาถูกตราหน้าว่าเป็นพวกหน้าเงิน อกตัญญูกับสโมสรที่ปลุกปั้นเขามา แม้สื่อจะจ้องเล่นงานเขาอยู่เสมอก็ตาม แต่สุดท้ายราฮีม สเตอร์ลิ่ง ทำได้เพียงแค่ก้มหน้าทำหน้าที่ของเขาต่อไปให้ดีที่สุด
“สื่อชอบบอกว่าผมเนี่ย ชอบแสงสี ชอบเพชร เป็นคนชอบโชว์โน่นนี่ ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่าสิ่งเหล่านี้มาจากไหน มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อจริง ๆ ที่จะมีบางคนเกลียดในสิ่งที่เขาไม่รู้จริง ๆ ด้วยซ้ำ”
ณ ตอนนี้ สเตอร์ลิ่งอยู่ในจุดที่เขามีความสุขที่สุด นอกจากฟอร์มการเล่นในสนามจะเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของเขาแล้ว แน่นอนสิ่งสำคัญกว่าสำหรับเขาคือการทำให้แม่และพี่สาวมีชีวิตที่ดี เรื่องราวของ สเตอร์ลิ่ง สะท้อนให้เราเห็นว่าจากเด็กที่ไม่มีอะไรเลย เขาสามารถมีทุกอย่างในวันนี้ได้ จากการลงมือทำความฝันของตัวเอง
“วันที่ผมซื้อบ้านให้กับแม่ นั่นคือวันที่ผมมีความสุขที่สุดในชีวิต ก่อนหน้านี้ในชีวิตครอบครัวเราต้องย้ายบ้านบ่อยครั้ง เพราะเราไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า ตอนนั้นผมไม่ค่อยคิดถึงมันมาก คิดแค่ว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วถึงความรู้สึกของเธอ ที่ต้องผ่านความยากลำบาก ถ้าคนอยากจะเขียนถึงห้องน้ำสุดหรูที่บ้านแม่ผม ผมอยากจะบอกเขาว่าเมื่อ 15 ปีที่แล้ว พวกเราเคยล้างห้องน้ำอยู่ที่สโตนบริดจ์และต้องกินอาหารเช้าจากตู้ขนมหยอดเหรียญ ถ้าใครสักคนสมควรจะได้มีความสุข คนคนนั้นก็คงเป็นแม่ผมเนี่ยแหละ เธอมายังประเทศนี้แบบไม่มีอะไรเลย แต่สุดท้ายเธอเรียนจบและส่งลูกเป็นนักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษได้สำเร็จ”